อย่างน้อยกลิ่นก็ยังไม่โชย เจ้าหน้าที่สืบสวนพิเศษ บิล เจฟฟรี่ส์ คิดในใจ
ระหว่างพลิกดูศพอยู่นั้น เขาก็พบกับร่องรอยแรกอย่างช่วยไม่ได้ มันปะปนมากับกลิ่นอันสดชื่นของต้นสนและกลิ่นสะอาดๆของไอน้ำที่ลอยมาจากลำธาร – กลิ่นซากศพนั่นเอง กลิ่นที่เขาควรจะเคยชินกับมันตั้งนานแล้ว แต่เขาก็ยังไม่รู้สึกชินกับมันอยู่ดี
ร่างล่อนจ้อนของหญิงสาวรายหนึ่งถูกจัดวางอย่างระมัดระวังบนหินขนาดใหญ่ริมลำธาร เธออยู่ในท่านั่ง สภาพร่างพิงอยู่กับหินใหญ่อีกก้อนหนึ่ง ขาเหยียดตรงและแบะออก แขนแนบอยู่ข้างลำตัว แขนขวานั้นบิดเบี้ยวเป็นทรงประหลาดซึ่งเขาเห็นและสันนิษฐานเลยว่าคงกระดูกหัก ผมหยักศกเป็นลอนนั้นเห็นได้ชัดเลยว่าเป็นวิกผมซึ่งดูสกปรกราวกับเป็นเรื้อนด้วยสีเข้มสีอ่อนของเลือดที่ปนกันอยู่บนนั้น รอยยิ้มสีชมพูของเธอนั้นคือรอยลิปสติกวาดทับลงบนปาก
อาวุธที่ใช้ในการฆาตกรรมนั้นยังรัดแน่นอยู่รอบๆคอ สันนิษฐานว่าเธอถูกรัดคอตายด้วยริบบิ้นสีชมพู ดอกกุหลาบพลาสติกสีแดงถูกวางอยู่ตรงปลายเท้าของเธอบนหินที่อยู่ด้านหน้า
บิลพยายามยกมือซ้ายของเธอขึ้นอย่างเบามือ แต่มันไม่ขยับเลย
“ร่างเธอยังอยู่ในภาวะแข็งตัวหลังเสียชีวิต” บิลบอกกับเจ้าหน้าที่สเปลเบร็น พร้อมกับย้ายไปนั่งยองๆลงที่อีกฟากหนึ่งของศพ “เสียชีวิตมาไม่เกิน 24 ชั่วโมง”
“ตาของเธอเป็นอะไรน่ะ” เจ้าหน้าที่สเปลเบร็นถามขึ้นมา
“โดนเย็บเปิดไว้ด้วยด้ายดำ” เขาตอบโดยไม่แม้แต่จะหันไปดูให้ชัดๆ
สเปลเบร็นจ้องเขาอย่างไม่เชื่อสายตา
“ไม่เชื่อก็ลองดูเองสิ” บิลกล่าว
สเปลเบร็นส่องลงไปที่ดวงตาทั้งสองข้าง
“พระเจ้า” เขาพึมพำเบาๆ บิลสังเกตว่าเขาไม่ได้หัวหดด้วยความขยะแขยงจึงรู้สึกพอใจอยู่ เขาเคยทำงานกับเจ้าหน้าที่หน่วยปฏิบัติงานมาหลายคน – บางคนก็ช่ำชองมานานเหมือนสเปลเบร็นนี่แหละ – แต่หากมาเจอสภาพแบบนี้ก็คงยังจะอ้วกแตกอ้วกแตนอย่างแน่นอน
ตัวบิลนั้นยังไม่เคยได้ร่วมงานกับเขามาก่อน สเปลเบร็นถูกเรียกตัวให้มารับเคสนี้จากศูนย์ปฏิบัติการเวอร์จิเนีย และ
เขาก็คือคนต้นคิดไอเดียที่จะเอาเจ้าหน้าที่จากหน่วยวิเคราะห์พฤติกรรมอาชญากรในควอนติโก้มาช่วยคดีนี้ และนั่นคือสาเหตุว่าทำไมบิลถึงมาลงเอยอยู่ที่นี่
ฉลาดไม่เบา, บิลคิดในใจ
ดูๆแล้วสเปลเบร็นน่าจะอายุอ่อนกว่าเขาแค่ไม่กี่ปี แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ สเปลเบร็นดูมีความโชกโชนดูมีความเก๋าอยู่ในตัว เป็นลักษณะคนในแบบที่เขาชอบซะด้วยสิ
“เธอสวมคอนแท็คเลนส์นะ,” สเปลเบร็นสังเกต
บิลก้มลงไปดูเพื่อความแน่ใจ เขาพูดถูก คอนแท็คเลนส์สีฟ้าแข็งๆหลอนๆทำให้เขาต้องมองไปทางอื่น อากาศด้านล่างที่
ลำธารช่วงสายนี่ยังคงเย็นอยู่ แต่ถึงอย่างนั้น ดวงตาทั้งสองนั้นแบนติดอยู่ในเบ้าตา มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะระบุเวลาเสียชีวิตที่ชัดเจนได้ สิ่งเดียวที่เขาแน่ใจก็คือศพถูกนำมาไว้ที่นี่ช่วงเวลาไหนซักช่วงเมื่อคืนและถูกจัดแจงการวางท่า
เขาได้ยินเสียงจากใกล้ๆ
“ห่าองค์กรเอ๊ย”
บิลเหลือบตามองไปที่นายตำรวจพื้นที่สามนายที่ยืนห่างออกไปซักสามหลา พวกเขาเปลี่ยนเป็นซุบซิบอะไรกันฟังไม่รู้เรื่องแล้วตอนนี้ เขารู้ได้ทันทีว่าพวกนั้นตั้งใจให้เขาได้ยินไอ้สามคำเมื่อกี๊นี้แน่ๆ พวกนั้นมาจากยาร์เนลใกล้ๆนี้แหละ และพวกเขาก็แสดงออกชัดเจนว่าไม่ชอบใจที่มีเจ้าหน้าที่เอฟบีไอโผล่มาอยู่ในที่เกิดเหตุนี้ด้วย พวกนั้นเขาคิดว่าสามารถจัดการคดีนี้กันเองได้
หัวหน้ากองกำลังพิเศษของพื้นที่รัฐโมวส์บี้มีความเห็นต่างในเรื่องนี้ เขาไม่เคยเจอเคสไหนที่ร้ายแรงไปกว่าการทำลายทรัพย์สิน การทิ้งขยะไม่เป็นที่ และการล่าสัตว์หรือตกปลาในเขตหวงห้าม และเขาก็รู้ด้วยว่าพวกตำรวจพื้นที่จากยาร์เนลนี่ไม่มีความสามารถพอจะจัดการกับเรื่องนี้ได้
บิลใช้เวลาเดินทางร้อยกว่าไมล์มาที่นี่โดยเฮลิคอปเตอร์ เพื่อเขาจะได้มาถึงจุดเกิดเหตุก่อนที่ศพจะถูกเคลื่อนย้าย นักบินคนขับพาบินตามพิกัดมาจนถึงทุ่งหญ้าบนเนินเขาใกล้ๆนี้ ที่ๆหัวหน้ากองกำลังพิเศษและเจ้าหน้าที่สเปลเบร็นได้เจอกับเขาและหัวหน้ากองก็เป็นคนขับรถผ่านถนนลูกรังพาพวกเขาทั้งหมดลงจากเขามา เมื่อมาถึงจุดเกิดเหตุบิลพอจะมองเห็นพื้นที่เกิดเหตุได้รางๆจากบนถนน มันแค่ต้องเดินลงเขาต่อไปอีกนิดหน่อยจากลำธาร
ตำรวจที่ยืนทำหน้าหมดความอดทนกันอยู่ใกล้ๆนี้ได้สำรวจพื้นที่เกิดเหตุกันเรียบร้อยแล้ว บิลรู้ทันทีว่าพวกเขาคิดอะไรกันอยู่ พวกนั้นต้องการเคลียร์คดีกันเอง เจ้าหน้าที่เอฟบีไอสองหน่อนี้คงเป็นสิ่งสุดท้ายที่พวกเขาอยากจะเห็น
โทษทีนะ ไอ้พวกใจแคบ บิลคิดในใจ แต่พวกแกฝีมือไม่ถึงจะทำคดีนี้หรอก
“นายอำเภอคิดว่านี่เป็นการค้ามนุษย์” สเปลเบร็นกล่าว “แต่เขาผิดแล้วหละ”
“ทำไมถึงคิดแบบนั้น?” บิลถามออกไป เขารู้คำตอบอยู่แล้ว แค่อยากจะลองดูว่ากระบวนความคิดของสเปลเบร็นทำงานยังไง
“เธออายุ 30 กว่าแล้ว ไม่ใช่ว่าจะยังเอ๊าะอะไร” สเปลเบร็นอธิบาย “ริ้วรอยแตกลายงานั่น เธอก็ต้องเคยผ่านการมีลูกมาแล้วอย่างต่ำ 1 คน ไม่ใช่ลักษณะเหยื่อปกติของพวกค้ามนุษย์”
“คุณพูดถูก” บิลตอบ
“แล้ววิกผมนี่ล่ะ?”
บิลส่ายหัว
“เธอโดนโกนหัว” บิลตอบ “เพราะฉะนั้นไม่ว่าไอ้เจ้าวิกนั่นจะใส่มาไว้เพื่ออะไร มันไม่ได้เอาไว้อำพรางสีผมของเธอแน่”
“แล้วกุหลาบล่ะ” สเปลเบร็นถามต่อ “ความนัยงั้นเหรอ?”
บิลตรวจดูอีกครั้ง
“ดอกไม้ปลอม ถูกๆ” เขาตอบ “แบบที่หาได้ทั่วไปในร้านขายของราคาถูก เราตรวจสอบได้แต่คงไม่เจอคำตอบอะไร”
สเปลเบร็นมองมาทางเขา ออกอาการทึ่งอย่างเห็นได้ชัด
บิลไม่คิดว่าจะมีหลักฐานที่ตรวจพบแล้วชิ้นไหนที่จะช่วยแก้ปมให้พวกเขาได้ อาชญากรรายนี้มันดูจงใจเกินไป ดูมีระเบียบแบบแผนมากไป ซีนเกิดเหตุมันดูเหมือนถูกจัดฉากไว้แล้วแบบจิตๆ ที่ทำให้ตัวเขาเองนึกหวาดอยู่เหมือนกัน
เขาเห็นว่าตำรวจท้องที่นั้นออกอาการกระสันต์อยากจะเดินเข้ามาเพื่อปิดคดีนี้ รูปถ่ายสถานที่เกิดเหตุก็ถ่ายไว้แล้ว และตอนนี้ศพก็อาจถูกเคลื่อนย้ายได้ทุกเมื่อ
เขายืนถอนหายใจ รู้สึกขาแข้งมันแข็งไปหมด อายุเลข 4 ของเขามันกำลังเริ่มทำให้เขาทำอะไรได้ช้าลง อย่างน้อยก็ช้าลงนิดหน่อย
“เธอถูกทรมาน” เขาสังเกตและถอนหายใจออกมาอย่างสลด “ดูรอยบาดพวกนี้สิ บางรอยปากแผลเริ่มจะปิดแล้ว” เขาส่ายหัวขึงขัง “ไอ้คนๆนั้นมันทรมานเธอมาหลายวันก่อนกำจัดเธอทิ้งด้วยริบบิ้นนั่น”
สเปลเบร็นถอนหายใจ
“ผู้ต้องหามันต้องฉุนเฉียวอะไรซักอย่าง” สเปลเบร็นออกความเห็น
“เฮ้ เราจะปิดจ็อบกลับกันเมื่อไหร่เนี่ย?” ตำรวจนายหนึ่งตะโกนถาม
บิลมองไปทางด้านที่พวกเขายืนอยู่และเห็นว่ากำลังย่ำเท้าอย่างไม่เป็นสุขกันแล้ว สองคนในนั้นก็บ่นฮึ่มฮั่มกันเงียบๆ
เขารู้ว่าพวกนั้นปฏิบัติหน้าที่ตรงนี้กันเสร็จแล้ว แต่เขาก็ไม่เอ่ยอะไร เขาอยากจะให้เจ้าพวกโง่นั่นรออย่างสงสัยต่อไปมากกว่า
เขามองไปรอบๆอย่างช้าๆและเก็บรายละเอียดที่เกิดเหตุ มันเป็นพื้นที่ปกคลุมด้วยป่าทึบที่เป็นต้นสนกับต้นซีดาร์ทั้งหมดและส่วนมากก็เป็นพงไม้เตี้ยๆที่มีลำธารไหลเป็นฟองอย่างสงบพาดผ่านไปยังแม่น้ำที่อยู่ใกล้ๆ ถึงตอนนี้จะอยู่ในช่วงกลางฤดูร้อน แต่วันนี้มันคงไม่ร้อนมากไปกว่านี้แล้ว ศพคงยังไม่น่าจะเน่าเร็วในทันที ถึงอย่างนั้นก็เถอะ มันคงจะเป็นการดีที่สุดหากจะเคลื่อนย้ายศพออกจากที่นี่และส่งไปที่ควอนติโก้ เจ้าหน้าที่นิติเวชที่นั่นคงอยากจะตรวจดูตอนที่ศพมันยังร้อนๆอยู่ รถบรรทุกเจ้าหน้าที่นิติเวชชันสูตรเข้ามาจอดบนถนนลูกรังด้านหลังรถตำรวจ เพื่อจะรอรับกลับแล้ว
ถนนไม่มีอะไรพิเศษมากไปกว่าทางลาดยางคู่ขนานไปจนสุดป่า เจ้าฆาตกรต้องใช้เส้นทางนี้ขับรถไปมาเกือบจะแน่นอน มันต้องขนศพระยะทางสั้นๆผ่านทางแคบๆมาจนถึงจุดนี้ จัดการจัดวางท่าและก็หนีไป มันคงไม่ได้อยู่นาน ถึงแม้ว่าที่แถวนี้จะดูเหมือนไม่ค่อยมีคนอยู่อาศัย แต่หน่วยลาดตระเวนตรวจพื้นที่แถวนี้เป็นประจำ แถมรถภายนอกก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาใช้ถนนนี้ด้วย มันตั้งใจให้คนมาเจอศพและดูจะภูมิใจกับผลงานของตัวเองมาก
แล้วศพก็ ถูกพบ โดยกลุ่มคนที่ขี่ม้าผ่านมาในตอนเช้าตรู่ กลุ่มนักท่องเที่ยวที่เช่าม้าขี่ หัวหน้ากองกำลังพิเศษได้บอกบิลไว้แบบนั้น พวกเขาเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวจากอาร์ลิงตั้นอาศัยอยู่ที่คอกม้าแบบตะวันตกถูกๆนอกเมืองยาร์เนล หัวหน้ากองบอกว่าพวกเขากำลังหัวเสียกันนิดหน่อยเลยตอนนี้ เพราะโดนบอกห้ามออกนอกเมือง และบิลก็วางแผนไว้ว่าจะไปสอบถามพวกเขาหลังจากนี้
มันดูแทบไม่มีสิ่งผิดปกติอะไรแวดล้อมศพในบริเวณพื้นที่แถวนี้เลย เจ้าหมอนั่นมันจัดการอย่างระมัดระวังมาก มันต้องลากอะไรบางอย่างไว้ด้านหลังตัวเองตอนขากลับจากลำธาร – ซึ่งคิดว่าน่าจะเป็นพลั่วนะ – เพื่อจะลบร่องรอยของรอยเท้า ไม่มีเศษซากของอะไรเหลือทิ้งไว้ทั้งนั้นไม่ว่าจะด้วยความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ รอยล้อยางบนพื้นถนนน่าจะโดนทำลายจนสิ้นซากหมดแล้วโดยรถขนส่งตำรวจและเจ้าหน้าที่นิติเวชชันสูตร
บิลถอนหายใจกับตัวเอง
บ้าเอ้ย เขานึกด่าในใจ ไรล์ลี่หายตัวไปอยู่ไหนนะเวลาที่ฉันต้องการเธอ
คู่หูและเพื่อนสนิทอันยาวนานของเขาโดนสั่งพักงานโดยไม่สมัครใจ เพื่อให้ไปรักษาตัวจากบาดแผลที่ได้มาจากการทำคดีล่าสุดของทั้งคู่ ถูกแล้ว คดีนั้นมันโหดสุดๆไปเลย เธอต้องการเวลานอก และอาจต้องยอมรับความจริงว่าเธออาจไม่ได้กลับมาอีก
แต่บิลก็ต้องการเธอจริงๆในเวลานี้ ไรล์ลี่นั้นฉลาดกว่าเขามากและตัวเขาเองก็ไม่มายด์ที่จะยอมรับในเรื่องนี้ เขาชอบดูวิธีการคิดเวลาทำคดีของเธอ เขาลองนึกภาพเธอเก็บข้อมูลซีนที่เกิดเหตุนี้ ในทุกรายละเอียดทุกเม็ด ถึงตอนนี้เธอคงต้องล้อเขาแล้วที่มองไม่เห็นร่องรอยที่แสนจะชัดเจนราวกับประเคนอยู่ตรงหน้าแบบนี้
อะไรที่คิดว่าไรล์ลี่จะค้นพบในขณะที่เขามองข้าม?
เขารู้สึกไปไม่เป็น และเขาก็ไม่ชอบความรู้สึกนี้เลย แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้แล้วตอนนี้
“เอาหละ พวกคุณ” บิลตะโกนออกไปบอกตำรวจคนอื่นๆ “เคลื่อนย้ายศพได้”
ตำรวจพวกนั้นหัวเราะและแปะมือกันรัวๆ
“คุณว่ามันจะก่อเหตุอีกมั้ย?” สเปลเบร็นถามขึ้นมา
“แหงอยู่แล้ว” บิลตอบ
“คุณรู้ได้ยังไง?”
บิลหายใจเข้ายาวก่อนตอบ
“เพราะผมเคยเห็นผลงานมันมาก่อนน่ะสิ”
“มันแย่ลงทุกวันสำหรับเธอ” แซม ฟลอเรส พูดขึ้น พร้อมดึงอีกภาพอันน่าขนพองสยองเกล้าขึ้นมาบนจอโปรเจ็คเตอร์ผ่านเลนส์เครื่องฉายมัลติมีเดียที่ห้อยอยู่เหนือโต๊ะประชุม “ไล่มาจนถึงตอนที่มันเก็บเธอเลย”
บิลก็เดาไว้อยู่แล้วว่าเหตุการณ์มันเป็นแบบนี้ แต่เขาก็ยังเกลียดที่เขาคิดถูก
องค์กรได้ส่งร่างของเธอไปที่หน่วยวิเคราะห์พฤติกรรมอาชญากรในควอนติโก้ หน่วยนิติเวชได้ถ่ายรูปเก็บไว้แล้ว และได้เริ่มดำเนินการตรวจวิจัยในห้องแล็ปแล้ว ฟลอเรส,เจ้าหน้าที่ห้องแล็ปสวมแว่นขอบสีดำ, เปิดหน้าสไลด์อันน่าสยดสยองต่อไปเรื่อยๆ และตอนนี้จอภาพโปรเจ็คเตอร์ขนาดมหึมาในห้องประชุมของหน่วยวิเคราะห์พฤติกรรมอาชญากรก็กลายเป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากจะเหลือบมอง
“เธอเสียชีวิตมานานเท่าไหร่ก่อนศพจะถูกพบ?” บิลถามขึ้น
“ไม่นาน” เขาตอบ “อาจจะประมาณช่วงค่ำของวันก่อนหน้า”
ข้างๆบิลนั้น สเปลเบร็นก็นั่งอยู่ด้วย เขาบินมาควอนติโก้กับบิลหลังกลับจากยาร์เนล ที่นั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะนั้นคือหัวหน้าทีม เจ้าหน้าที่พิเศษ เบรนท์ เมอเรดิธ เมอเรดิธลุกขึ้นยืนบดบังภาพสุดสลดด้วยร่างกายกว้างใหญ่กำยำและด้วยรูปหน้าเป็นเหลี่ยมขึงขังเอาจริง ไม่ใช่ว่าบิลจะกลัวเขาหรอกนะ – ไม่เลยแม้แต่น้อย เขาอยากจะคิดว่าเรามีอะไรที่คล้ายๆกันมากกว่า เขาทั้งสองผ่านสมรภูมิมาอย่างโชกโชนและต่างก็เห็นโลกมาหมดแล้ว
ฟลอเรสเปิดภาพแบบซูมอินที่บาดแผลของเหยื่อติดต่อกันหลายภาพ
“บาดแผลทางด้านซ้ายนั้นโดนมาซักพักแล้ว” เขากล่าว “ส่วนบาดแผลทางด้านขวานั้นเพิ่งได้รับมา บางแผลก็เพิ่งเกิดสดๆร้อนๆไม่กี่ชั่วโมงหรือแม้กระทั่งไม่กี่นาทีก่อนที่เขาจะรัดคอเธอด้วยริบบิ้น ดูเหมือนฆาตกรจะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆระหว่างช่วงประมาณหนึ่งสัปดาห์ที่เขาจับเธอมา การหักแขนของเธอคงเป็นการลงมือรอบสุดท้ายในระหว่างที่เธอยังมีชีวิต” “ร่องรอยบาดแผลสำหรับผมมันดูเหมือนฝีมือของผู้ต้องสงสัยคนนึง” เมอเรดิธบอกสิ่งที่สังเกต “ดูจากความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ น่าจะเป็นฝีมือผู้ชาย มีข้อมูลอะไรเพิ่มเติมมั้ย?”
“ดูจากรอยจิ้มเล็กๆบนหนังศีรษะ สันนิษฐานว่าเธอคงจะถูกโกนหัวสองวันก่อนโดนฆาตกรรม” ฟลอเรสอธิบายต่อ “วิกผมนั้นก็เป็นเศษจากวิกผมราคาถูกหลายๆอันมาเย็บต่อกัน คอนแท็คเลนส์นั้นสันนิษฐานว่าน่าจะสั่งซื้อแบบจัดส่งไปรษณีย์มา แล้วอีกอย่าง” เขาหยุดมองไปที่หน้าทุกคน พูดอย่างลังเล “มันทาตัวเธอด้วยวาสลีน”
บิลรู้สึกได้ถึงระดับความตึงเครียดในห้องประชุมที่ค่อยเพิ่มมากขึ้น
“วาสลีนเหรอ?” เขาถาม
ฟลอเรสพยักหน้า
“เพื่ออะไร?” สเปลเบร็นถามบ้าง
ฟลอเรสยักไหล่และตอบ
“นั่นเป็นหน้าที่ของคุณ”
บิลนึกย้อนไปถึงนักท่องเที่ยวสองคนที่เขาสอบสวนเมื่อวาน พวกเขาช่วยอะไรไม่ได้เลย ตัดสินใจไม่ได้ระหว่างความอยากรู้อยากเห็นอันไม่สมควรกับความหวาดวิตกกับสิ่งที่ได้พบเจอมา พวกเขากุลีกุจอที่จะกลับไปบ้านที่อาร์ลิงตั้นและเราก็ไม่มีเหตุผลใดที่จะคุมตัวพวกเขาไว้ได้ พวกเขาโดนสอบสวนจากเจ้าหน้าที่ที่ประจำอยู่ จนครบทุกคนแล้ว แต่พวกเขาก็ยังระวังตัวไม่ปริปากบอกออกมาว่าได้เห็นอะไรมาบ้าง
เมอเรดิธถอนหายใจและวางมือทั้งสองลงบนโต๊ะ
“ทำได้ดีมาก ฟลอเรส” เมอเรดิธกล่าวชม
ฟลอเรสดูซาบซึ้งกับคำชม—ระคนความแปลกใจด้วยนิดหน่อย เบรนท์ เมอเรดิธไม่ใช่คนที่จะชมอะไรใครง่ายๆ
“เอาหละ เจ้าหน้าที่พิเศษเจฟฟรี่ส์” เมอเรดิธหันหน้ามาทางเขา “อธิบายให้เราฟังหน่อยสิว่ามันมีความเกี่ยวพันกับคดีเก่าของคุณยังไง”
บิลสูดหายใจเข้าลึกแล้วเอนหลังพิงที่พนักเก้าอี้
“ประมาณเมื่อหกเดือนก่อน” เขาเริ่มสาธยาย “อันที่จริงก็ประมาณวันที่ 16 ธันวาคม – ศพของ เอลีน โรเจอร์ส ถูกพบในฟาร์มใกล้เมืองแด็กเก็ตต์ ผมถูกเรียกตัวให้เข้าสืบสวนด้วยกันกับคู่หูของผมคือ ไรล์ลี่ เพจ อากาศวันนั้นมันหนาวจับจิต และสภาพศพก็แข็งราวกับหิน มันยากที่จะบอกได้ว่าศพถูกทิ้งไว้ที่นั่นนานเท่าไหร่แล้ว และเวลาที่เหยื่อเสียชีวิตก็ไม่เคยได้รับการยืนยันแน่ชัด ฟลอเรส ช่วยแชร์ข้อมูลให้พวกเขาดูหน่อย”
ฟลอเรสหันกลับไปที่หน้าแผ่นสไลด์ ในจอภาพถูกแยกเป็นหน้าต่างย่อยออกมาและข้างๆรูปที่เปิดค้างไว้อยู่แล้ว เผยให้เห็นรูปภาพเซ็ตใหม่ที่เพิ่งถูกเรียกขึ้นมา รูปของเหยื่อทั้งสองถูกวางเทียบข้างกัน บิลอ้าปากหวอ มันยอดไปเลย นอกเหนือจากเนื้อที่แข็งเป็นหินของศพนึงแล้ว ศพทั้งสองนั้นแทบจะมีสภาพเหมือนกัน บาดแผลแทบไม่ต่างกันเลย หญิงสาวทั้งสองโดยเย็บตาเปิดไว้ในสภาพน่าอนาถเหมือนกัน
บิลถอนหายใจ เห็นรูปพวกนี้แล้วทุกอย่างก็พรั่งพรูกลับมาอีกครั้ง ไม่ว่าเขาจะปฏิบัติภารกิจมาแล้วกี่ปี แต่เห็นรูปเหยื่อทีไรก็ทำให้เขารู้สึกปวดใจ
“ศพของโรเจอร์สถูกพบในท่านั่งหลังตรงพิงอยู่กับต้นไม้” บิลเล่าต่อ เสียงของเขานั้นดูจริงจังมากขึ้น “ไม่ได้จัดท่าเป็นระเบียบเรียบร้อยขนาดเหยื่อในคดีที่โมวส์บี้พาร์ค ไม่มีคอนแท็คเลนส์หรือวาสลีน แต่รายละเอียดส่วนมากนั้นเหมือนกันทุกประการ ผมของโรเจอร์สโดนหั่นสั้น ไม่ได้ถูกโกนผม แต่สภาพวิกผมที่เอามาเย็บต่อๆกันนั้นเหมือนกัน เธอโดนรัดคอด้วยริบบิ้นสีชมพูเหมือนกัน และดอกกุหลาบพลาสติกก็ถูกพบวางอยู่ด้านหน้าศพของเธอ”
บิลหยุดเล่าชั่วครู่ เขาไม่อยากจะพูดสิ่งที่กำลังจะพูดต่อไปเลย
“เพจกับผมปิดคดีนี้ไม่สำเร็จ”
สเปลเบร็นหันมาทางเขา
“มีปัญหาอะไรเหรอ” เขาถามขึ้น
“แล้วอะไรหล่ะที่ไม่ได้เป็นปัญหา?” บิลย้อนกลับ รีบปกป้องตัวเองอย่างไม่จำเป็นเลย “เราไม่เคยได้หยุดพักเลยแม้แต่น้อย พวกเราไม่มีพยาน ครอบครัวของเหยื่อไม่สามารถให้ข้อมูลอะไรที่เป็นประโยชน์ได้ โรเจอร์สเองก็ไม่มีศัตรูที่ไหน ไม่มีสามีเก่า ไม่มีแฟนขี้หึง มันไม่มีเหตุผลอะไรรองรับการที่เธอกลายมาเป็นเป้าหมายและถูกสังหารเลย คดีก็เลยโดนเก็บเข้ากรุไปในทันที”
บิลรู้สึกถึงความเงียบงัน ความคิดในแง่ลบถาโถมเข้ามาในสมองของเขา
“อย่าคิดแบบนั้น” เมอเรดิธพูดในเสียงที่อ่อนโยนในแบบที่ไม่ใช่ลักษณะของเขา “มันไม่ใช่ความผิดของคุณ ยังไงซะ คุณก็ไม่สามารถจะหยุดการฆาตกรรมรายใหม่ได้หรอก”
บิลรู้สึกขอบคุณกับคำพูดนั้น แต่เขาก็ยังรู้สึกผิดอย่างแรง ทำไมเขาถึงไขคดีนั้นไม่สำเร็จนะ? ทำไมไรล์ลี่ถึงแก้ปมไม่ได้นะ? มันก็มีหลายครั้งในอาชีพเหมือนกันที่เขารู้สึกใบ้รับประทาน
ในขณะนั้นเอง โทรศัพท์ของเมอเรดิธก็ดังขึ้น และเขากดรับสาย
เกือบจะเป็นสิ่งแรกที่เขาเอ่ยออกมา คือคำว่า “ตายห่าแล้ว”
เค้าพูดซ้ำๆอีกหลายครั้ง และถามกลับว่า “คุณแน่ใจนะว่าเป็นเธอ?” เขาหยุดไปชั่วอึดใจหนึ่ง “มีการติดต่อเรื่องเงินค่าไถ่มาแล้วรึยัง”
เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้และเดินออกไปนอกห้องประชุม ปล่อยให้สามหนุ่มนั่งอยู่ในความเงียบด้วยความงุนงง หลังจากนั้นไม่กี่นาที เขาก็กลับเข้ามา ดูแก่ลงไปเลย
“สุภาพบุรุษทั้งหลาย เราอยู่ในสถานการณ์คับขันแล้วตอนนี้” เขาประกาศ “เราเพิ่งได้รับการยืนยันตัวตนของเหยื่อรายเมื่อวานนี้ เธอชื่อ รีบ้า ฟราย”
บิลอ้าปากค้างราวกับว่าเขาเพิ่งโดนอัดเข้าที่หน้าท้อง เขาเห็นว่าสเปลเบร็นก็ช็อคไปเหมือนกัน แต่ฟลอเรสนั้นยังดูงุนงงสับสน
“ผมควรจะต้องรู้มั้ยว่าเธอเป็นใคร” ฟลอเรสเอ่ยถาม
“ชื่อกลางคือ นิวโบร” เมอเรดิธอธิบาย “บุตรสาวของท่านวุฒิสมาชิก มิช นิวโบร – ผู้ซึ่งอาจจะได้เป็นผู้ว่าราชการของรัฐเวอร์จิเนียคนต่อไป”
ฟลอเรสถอนหายใจเฮือก
“ผมไม่เคยได้ยินเลยนะว่าเธอหายตัวไป” สเปลเบร็นเอ่ยออกมา
“มันไม่ได้ถูกรายงานอย่างเป็นทางการ” เมอเรดิธตอบ “พ่อของเธอได้รับการติดต่อไปแล้ว และ แน่นอน เขาคิดว่ามันต้องเป็นเหตุการณ์เกี่ยวเนื่องทางการเมือง หรือเรื่องส่วนตัว หรือทั้งสองอย่าง ไม่ได้สนว่าเหตุการณ์ที่เหมือนกันนี้เคยเกิดขึ้นกับเหยื่ออีกรายหนึ่งเมื่อหกเดือนก่อน”
เมอเรดิธส่ายหัว
“ท่านวุฒิสมาชิกเอาเป็นเอาตายกับเรื่องนี้มาก” เขาเสริม “พายุนักข่าวกำลังจะโหมลงมาแล้ว ท่านต้องจี้พวกเราเหมือนไฟลนก้นแน่นอน”
หัวใจบิลหล่นลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม เขาเกลียดความรู้สึกนี้ราวกับว่าเขาจะหนีมันไม่พ้น แต่นั่นคือสิ่งที่เขารู้สึกอยู่ตอนนี้
ความเงียบงันแผ่เข้าปกคลุมห้อง
ในที่สุด บิลกลืนน้ำลายก่อนพูด
“เราต้องการทีมช่วยเหลือ” เขาเอ่ย
เมอเรดิธหันไปทางเขาและบิลก็ประสานเข้ากับสายตาที่จับจ้องเขาเขม็ง ทันใดนั้น หน้าของเมอเรดิธก็ขมวดไปด้วยความกังวลและไม่เห็นด้วย เขารู้แน่นอนว่าบิลกำลังคิดจะทำอะไร
“เธอยังไม่พร้อม” เมอเรดิธตัดบท รู้ทันว่าบิลสื่อว่าให้เรียกตัวเธอกลับมา
บิลถอนหายใจ
Бесплатно
Установите приложение, чтобы читать эту книгу бесплатно
О проекте
О подписке